แต่ถ้าหากบอกว่า“หลงถัง”นี่ ผมไม่คุ้นกับชื่อนี้เลยจริงๆพับผ่าสิ ดอยพญาพิภักดิ์ หลงถังคือชื่อของ “ภูหลงถัง” แหล่งท่องเที่ยวเปิดใหม่ของจังหวัดเชียงราย ซึ่งทางททท.เชียงราย ได้ชูกิจกรรม“เที่ยวสามภู ในหนึ่งวัน”ขึ้น ด้วยการนำเสนอเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง ระหว่าง ภูชี้ฟ้า-ภูผาตั้งหรือดอยผาตั้ง และภูหลงถัง ที่ตั้งอยู่ ณ ต.ยางฮอม อ.ขุนตาล(อดีตอยู่ใน อ.เทิง) | ||||
ดอยพญาพิภักดิ์นับเป็นสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงราย เนื่องจากในยุคสงครามเย็นที่มีการรบพุ่งกันระหว่างรัฐบาล(ทหาร)ไทยกับกลุ่มผู้ฝักใฝ่ในลัทธิคอมมิวนิสต์(พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย-พคท.) และชาวบ้านในพื้นที่ที่หลายๆคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่รัฐผลักไสให้ไปอยู่ฝ่ายตรงข้าม ในพื้นที่ดอยยาว-ดอยผาหม่น บนดอยพญาพิภักดิ์ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เป็นพื้นที่สีแดง(คนละแดงกับปัจจุบัน)ซึ่งทางรัฐบาลได้ส่งกองกำลังเข้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 จนเกิดเสียงปืนแตกนำสู่การต่อสู้ที่ยืดเยื้อขึ้น จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2524 พันโทวิโรจน์ ทองมิตร ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 473 ได้นำกำลังพลเข้าปฏิบัติการในยุทธการยึดเนิน 1188 บนดอยพญาพิภักดิ์ จนสามารถปราบปรามคอมมิวนิสต์ในพื้นที่นั้นลงได้ แต่การสู้รบครั้งนั้น เหล่าทหารหาญก็ได้พลีชีพเพื่อชาติไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เหล่าทหารหาญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถฯ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ และพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลีฯ ได้เสด็จฯไปเยี่ยมเยียนเหล่าทหารหาญและพสกนิกรแล้ว ณ ฐานปฏิบัติการพญาพิภักดิ์ บนดอยยาว ท่ามกลางหมู่ชาวบ้านที่เดินทางมาเฝ้ารอรับเสด็จฯเป็นจำนวนมาก ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2525 | ||||
ในเรื่องนี้ทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นได้บันทึกเอาไว้ว่า(คัดลอกจากหนังสือ “เที่ยวตามพ่อ” สนพ.อัศเจรีย์) ...เมื่อพระองค์ท่านถอดรองพระบาท(รองเท้า)ได้เผยให้เห็นถึงถุงพระบาทที่ขาด ก่อนจะถอดถุงพระบาท และได้ประทับพระบาทลงในเบ้าพิมพ์ที่เป็นปูนปลาสเตอร์ผสมหมาดๆ ถุงพระบาทนั้น คือสิ่งที่ได้แสดงให้เห็นว่า พระองค์คือ ทรงเป็นทั้งนักทฤษฎีและปฏิบัติ พระองค์น่าจะมิใช้พระมหากษัตริย์ซึ่งทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานแต่เพียงสถานเดียว แต่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงปฏิบัติพระองค์อย่างเรียบง่าย สมถะ รู้จักคุณค่าของการใช้ สิ่งของมากยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์ใดในโลก หรือยิ่งกว่าสามัญชนแม้กระทั่งพสกนิกรมากหลายที่ยังดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องมีความพอเพียงเช่นนั้นไม่ได้... นอกจากนี้ในการเสด็จฯครั้งนั้น แม้สถานการณ์ควันไฟจากการสู้รบจะเพิ่งสงบได้หมาดๆ ยังคงสุ่มเสี่ยงต่อภยันอันตราย เพราะในเขตพื้นที่ดอยพญาพิภักดิ์(เขตงานที่ 8)ถือเป็นหนึ่งในเขตที่มีความรุนแรงที่สุด เพราะเป็นประตูในปฏิบัติการประสานกันระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์ในไทย ลาว และ เวียดนาม แต่ด้วยน้ำพระทัยอันกล้าหาญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์ท่านทรงรับการมอบตัวและมอบอาวุธต่อกองกำลังฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลเพื่อรับเข้าเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ทำให้ความขัดแย้งยุติลง ความสงบสันติสุขกลับคืนมา | ||||
สหายด้วยรำลึกความหลังเมื่อครั้งออกจากป่าให้ผมฟังด้วยความซาบซึ้งว่า เป็นเพราะพระบารมีของในหลวงที่ทรงมายุติความขัดแย้ง จึงทำให้เขาได้ออกจากป่ามาใช้ชีวิตตามปกติ นับเป็นพระมหากรุณาอันล้นพ้น ภูหลงถัง หลังเหตุการณ์สงบ ดอยพญาพิภักดิ์ก็ได้รับการพัฒนาเรื่อยมา และด้วยสภาพพื้นที่ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงเหนือระดับน้ำทะเลเฉลี่ย 1,200 เมตร ทำให้ดอยพญาพิภักดิ์ที่ตอนหลังนิยมเรียกขานอีกชื่อหนึ่งว่า“ภูหลงถัง” ได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดเชียงราย บนยอดภูแห่งนี้น่ายลไปด้วยวิวทิวทัศน์อันงดงาม โดยเฉพาะบนลานชมวิวในวันที่ฟ้าเปิดสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์เบื้องล่างได้อย่างกว้างไกล อีกทั้งยังสามารถมองไปเห็นยอดแหลมๆที่ชี้ขึ้นไปทิ่มแทงฟ้าของภูชี้ฟ้าได้อย่างชัดเจนอีกด้วย | ||||
สระมังกรแห่งนี้เป็นที่มาของชื่อภูหลงถัง(ที่ถือเป็นสิ่งคาใจผมนับตั้งแต่ได้ยินชื่อนี้ครั้งแรก) ซึ่งสหายด้วยได้ไขความกระจ่างให้ผมฟังว่า ในยุคที่มีการสู้รบทางกองกำลังชาวทหารจีนคณะชาติ(กองพล 93) ที่อพยพเข้ามาอยู่แถบทางภาคเหนือของเมืองไทยได้นำกำลังพลเข้ามาร่วมรบกับรัฐบาลไทย แล้วเห็นว่าที่นี่มีสระน้ำที่เกิดจากตาน้ำผุดตามธรรมชาติ จึงตั้งชื่อตามความเชื่อแบบคนจีนว่า“หลงถัง”ที่หมายถึง “สระมังกร” อันเป็นที่มาของชื่อภูหลงถังดังในปัจจุบัน | ||||
วนอุทยานพญาพิภักดิ์ เป็นสถานที่ที่ในหลวงเคยเสด็จมาพระราชทานประทับรอยพระบาทที่ดอยพญาพิภักดิ์แห่งนี้ ซึ่งชาวบ้านที่นี่ยังได้เรียกขานรอยพระบาทของพ่อหลวงในอีกชื่อหนึ่งว่า “รอยพระบาทแห่งสันติสุข” สำหรับรอยพระบาทในหลวงที่ประทับ ณ ดอยพญาพิภักดิ์นั้น มี 2 รอยด้วยกัน รอยแรก เกิดจากการประทับรอยครั้งแรก เป็นรอยที่ประทับไม่สมบูรณ์ เพราะปูนมีน้ำมากเกินไป ถูกนำไปเก็บไว้กับครอบครัวหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนอีกรอย เป็นการประทับครั้งที่สอง เป็นรอยที่สมบูรณ์ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่ศาลารอยพระบาท ค่ายเม็งรายมหาราช อ.เมือง จ.เชียงราย | ||||
อย่างไรก็ตามกับเรื่องนี้ได้มีผู้แนะนำว่า ทางจังหวัดเชียงรายควรทำจดหมายถึงทางสำนักพระราชวังเพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตหล่อรอยพระบาทในหลวงจำลองขึ้นมาใหม่ ที่หากสามารถทำได้ก็ถือเป็นการหาทางออกที่ดีทีเดียว เพราะรอยพระบาทในหลวงถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจของชาวบ้านที่นี่ อีกทั้งนี่ยังเป็นจุดดึงดูดให้ผู้คนขึ้นมาสักการะเที่ยวชมรอยพระบาทในหลวง(เสมือนจริง)ในสถานที่จริงอีกด้วย | ||||
สหายด้วยบอกกับผมว่า เมื่อครั้งที่ในหลวงเสด็จมาประทับรอยพระบาทบนดอยพญาพิภักดิ์ พระองค์ท่านได้ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก แล้วตรัสว่า “นี่คือป่าของฉัน” นับแต่นั้นมาชาวบ้านก็ช่วยกันดูแลรักษาพื้นป่าแห่งนี้ไว้ให้มีสภาพอุดมสมบูรณ์ มากไปด้วยพืชพรรณไม้ กล้วยไม้ป่า นกนานาชนิด ที่ชาวบ้านที่นี่เขาวางแผนว่าในอนาคตถ้ามีความพร้อม พวกเขาจะเปิดเส้นทางท่องเที่ยวเรียนรู้ ศึกษาธรรมชาติ ในผืนป่าในหลวงเพิ่มอีกจุดหนึ่ง สำหรับป่าในหลวงเท่าที่ผมไปสัมผัสมาที่นี่เปรียบดังโอเอซิสสีเขียวของชุมชนทีเดียว เพราะในขณะที่บริเวณรอบข้างถูกพักล้างถางพงแต่ผืนป่าแห่งนี้กลับยังคงสภาพร่มรื่นเขียวครึ้ม นับเป็นผืนป่าใต้พระบารมีของพ่อหลวงอย่างแท้จริง | ||||
ที่สำคัญคือการขึ้นมาแอ่วที่นี่มันทำให้ผมได้สัมผัสกับการแสดงออกถึงความเคารพเทิดทูนและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเมื่อเห็นแล้วผมอดนึกถึงคนกลุ่มหนึ่งในบ้านเราไม่ได้ คนกลุ่มนี้นิยมสร้างวาทะกรรมสวยหรู อ้างสิทธิเสรีภาพ อ้างประชาธิปไตย อ้างเมืองนอก อ้างความเป็นวิชาการ เพื่อให้ตัวเองดูดี แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมาต่อสาธารณะชนคนไทยส่วนใหญ่(ยกเว้นในกลุ่มพวกเขาที่ยกหางกันเอง) กลับเต็มไปด้วยอีโก้ที่ทะลักทะล้น(รูทวาร) คนกลุ่มนี้แม้หลายคนจะดูเปลือกนอกมีสถานะทางสังคมที่ดีกว่าชาวบ้านที่นี่ แต่ก็ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานอะไรดลใจให้พวกเขามีความตรรกะที่บิดเบี้ยวและมีความคิดหลงทางจนสุดกู่ สุดกู่ถึงขนาดกล้าเนรคุณต่อแผ่นดินตัวเองได้ |
นาฬิกา
วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานประทับรอยพระบาทในวันที่ 27 ก.พ. 2525
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น